6 เกมที่ผ่านพ้นไป กับการแข่งขันทั้งหมด 4 รอบ จะเป็น อิตาลี ที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นหนที่สอง หรือ อังกฤษ จะคว้าแชมป์ในรายการระดับเมเจอร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1966 กันแน่ก่อนที่จะถึงเกมนัดชี้ชะตาที่ เวมบลีย์ เรามาย้อนดูเส้นทางของทั้งสองทีมกัน
อิตาลี
รอบแบ่งกลุ่ม: กลุ่ม เอ
ตุรกี 0-3 อิตาลี
อิตาลี ภายใต้การทำทีมโดย มันชินี แผลงฤทธิ์ให้เห็นตั้งแต่เกมแรกด้วยการไล่บี้ ตุรกี อย่างดุดัน พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัดและครองเกมอยางเบ็ดเสร็จในครึ่งแรกและจะขาดก็เพียงแต่ประตูเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดีใน 45 นาทีหลังโอกาสที่ถาโถมเข้ามามากมายก็ถูกเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้เสียทีจากการทำเข้าประตูตัวเองของ เดห์มิราล, อิมโมบิเล และ อินซิเญ
อิตาลี 3-0 สวิตเซอร์แลนด์
อิตาลี มาพร้อมผลงานอันน่าตื่นตาอีกครั้ง โดยพระเอกของเกมคงหนีไม่พ้น มานูเอล โลคาเตลลี ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูจนกลายเป็นที่ต้องการไปทั่วทั้ง ยุโรป ก่อนที่ อิมโมบิเล จะมาแถมให้อีกเม็ดในช่วงท้ายเกม
อิตาลี 1-0 เวลส์
ปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์แบบกับ 9 แต้มเต็ม และไม่เสียสักประตู ทั้งๆที่ อิตาลี เลือกจะพักตัวหลักไปค่อนทีมเลยก็ตาม
รอบ 16 ทีมสุดท้าย
อิตาลี 2-1 ออสเตรีย
อิตาลี เจอความใจสู้ของทีมรองบ่อนอย่าง ออสเตรีย เข้าไปก็เกือบเอาตัวไม่รอดและทำได้แค่เสมอ 0-0 ในเวลา
อย่างไรก็ตาม ตัวสำรองของพวกเขาที่ถูกส่งลงมาในภายหลังก็สำแดงเดชเล่นงานคู่แข่งที่หมดแรงยกทีมไปได้อย่างสบายเท้าในช่วงต่อเวลา
รอบก่อนรองชนะเลิศ
เบลเยียม 1-2 อิตาลี
การเผชิญหน้ากับ เบลเยียม ที่มีสตาร์คับทีมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และการจะเอาชนะพวกเขานั้นยากยิ่งกว่าและต้องหวังให้ลูกทีมของตัวเองท็อปฟอร์มกันทุกคน ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้น
ดอนนารุมมา ที่เซฟอุตลุด, สองเซ็นเตอร์ที่ผลัดกันเล่นงาน ลูกากู เสียไปไม่เป็น, จอร์จินโญ กับทักษะการผ่านบอลอันแม่นยำ ไปจนถึงลูกยิงที่เฉียบขาดของทั้ง บาเรลลา และ อินซิเญ
รอบรองชนะเลิศ
อิตาลี (4)1-1(2) สเปน
เกมที่หินที่สุดของ อิตาลี ในทัวร์นาเม้นต์นี้ และหากมองอย่างเป็นกลางก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเราเป็นรองคู่แข่งอยู่ตลอดทั้ง 120 นาที และต้องขอขอบคุณเหล่าตัวรุกกระทิงดุด้วยที่ใช้โอกาสกันได้ไม่คุ้มค่าเอง
ประสบการณ์และความนิ่งกว่าของพวกเขาทำให้สามารถเอาชนะการดวลจุดโทษไปได้และสามารถทะลุไปรอบชิงได้
อังกฤษ
รอบแบ่งกลุ่ม: กลุ่ม ดี
อังกฤษ 1-0 โครเอเชีย
พวกเขาไม่ได้มีรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าใด เกมรุกก็ไม่ได้ไหลลื่น แต่ในเกมนี้เราได้เห็นความแกร่งของ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่บดขยี้กองกลาง โครเอเชีย เสียราบคาบและแอสซิสต์ประตูชัยให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ได้อีกด้วย
อังกฤษ 0-0 สกอตแลนด์
1 แต้มในเกมนี้เปรียบเสมือนเป็นของขวัญโดยแท้หากพิจารณาว่าลูกทีมของ เซาธ์เกต ยิงเข้ากรอบไปเพียงหนเดียวและเป็น สกอตแลนด์ ที่เหนือกว่ามาก
สาธารณรัฐเช็ก 0-1 อังกฤษ
อังกฤษ มาพร้อมกับครึ่งแรกที่ทรงพลังจนเป็นที่มาของประตูในนาทีที่ 44 จาก สเตอร์ลิง คนเดิม ก่อนที่จะแผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัดในครึ่งหลังแต่ก็ยังพอที่จะรักษาสกอร์เอาไว้ได้ดังเดิม
กรกลับมาของ แฮร์รี แม็คไกวร์ ส่งผลดีต่อทีมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมรับ
รอบ 16 ทีมสุดท้าย
อังกฤษ 2-0 เยอรมนี
เซาธ์เกต หักทุกปากกาเซียนและสามารถบดเอาชนะ เยอรมนี ไปได้จากประตูของ ราฮีม คนเดิม เพิ่มเติมคือ แฮร์รี เคน ยิงได้แล้ว
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เกมที่ทั้งสองทีมเล่นกันได้ดีเลย มันจึงขึ้นอยู่ดับว่าใครเล่นแย่น้อยกว่าต่างหาก ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นนี้แหละ
รอบก่อนรองชนะเลิศ
อังกฤษ 4-0 ยูเครน
เหลือเชื่อจริงๆว่าจวบจนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว แถมฟอร์มการเล่นยังไฮไลสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ ลุค ชอว์ ที่ทำไป 2 แอสซิสต์และบุกตะลุยขึ้นหน้าไปอย่างเมามัน
แฮร์รี เคน ยิงเบิ้ลในเกมนี้ แม็คไกวร์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต่างก็ทำไปอีกคนละลูก
รอบรองชนะเลิศ
อังกฤษ 2-1 เดนมาร์ก
ชัยชนะในนัดนี้ทำให้เสียงเชียร์ของแฟนบอลแดนผู้ดีและวลี It’s Comimg Home ดังกระหึ่มไปทั่วสนาม
แดมส์การ์ด ดาวรุ่งจากแดนโคนมซัดฟรีคิกลูกแรกของรายการนี้ให้ทีมออกนำไปก่อน จากนั้นไม่นาน ซิมง กยาร์ ที่พยายามเข้ามาบล็อค สเตอร์ลิง ก็พลาดท่าสกัดบอลเข้าประตูตัวเองไปอย่างน่าเสียดายก่อนที่จะจบ 90 นาทีไปด้วยสกอร์ 1-1
ในช่วงต่อเวลา อังกฤษ มาได้ประตูชัยจากการเข้าไปซ้ำลูกโทษของ แฮร์รี เคน จากจังหวะฟาวล์ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเถียงกันได้ไม่รู้จบ